ชุดขาวทำได้! ดวลโทษดับตราหมี 5-3 (1-1) ซิวแชมป์ยุโรป 11 สมัย

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 29 พ.ค. 2559 14:10:41 น. เข้าชม 1143 ครั้ง แจ้งลบ


ราชันชุดขาวสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยุโรปมาครองเป็นสมัยที่ 11 หลังจากเอาชนะคู่ปรับร่วมกรุงมาดริดอย่างตราหมี ได้สำเร็จ ในเกมที่ต้องยึดเยื้อถึงช่วงดวลจุดโทษ

ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2016 รอบชิงชนะเลิศ ที่สนามซานซีโร ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี เป็นการศึกดาร์บี้แมตช์แห่งกรุงมาดริดนอกรอบระหว่าง เรอัล มาดริด อดีตแชมป์มากที่สุด 10 สมัย ปะทะกับ แอตเลติโก มาดริด อดีตรองแชมป์ 2 สมัย

ซีเนดีน ซีดาน กุนซือราชันชุดขาว หวังสร้างประวัติศาสตร์เป็นอีกหนึ่งคนที่คว้าแชมป์ถ้วยนี้ได้ทั้งการเป็นนักเตะและโค้ช โดยเพียงแค่ ราฟาเอล วาราน ที่บาดเจ็บเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่ตัวหลักอยู่แล้ว ส่วนสามประสาน BBC ในแดนหน้าอย่าง แกเร็ธ เบล, คาริม เบนเซมา และ คริสเตียโน โรนัลโด้ พร้อมประจำการเช่นเคย

ด้านทัพตราหมีของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน หวังล้างอายจากการคว้าผิดหวังในรายการนี้ต่อขุนพลโลส บลังโกสเมื่อสองปีก่อนให้ได้ ซึ่งสภาพทีมก็พร้อมเต็มที่เช่นกัน สามารถส่ง 11 คนแรกที่ดีที่สุดลงสนามได้แบบครบครัน โดยจะเป็น เฟร์นานโด ตอร์เรส คอยทำเกมรุกร่วมกับ โกเก้, ซาอูล นิเกวซ และ อองตวน กรีซมันน์

เริ่มเกมมาเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น เป็นเรอัลที่ได้โอกาสทักทายแบบจะแจ้งก่อน จากลูกฟรีคิกบริเวณริมกรอบเขตโทษฝั่งขวาที่ เบล กึ่งยิงกึ่งผ่านไปถึง คาเซมิโร ตวัดยิงตามน้ำจ่อๆ แต่ยังโดน แยน โอบลัค ที่ปฏิกิริยาไวเวฟไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม

จนกระทั่งนาทีที่ 15 ราชันชุดขาวก็สามารถพังประตูขึ้นนำได้สำเร็จ จากลูกฟรีคิกทางริมเส้นฝั่งซ้ายที่ โทนี โครส เปิดให้ เบล โหม่งเช็ดต่อให้ เซร์คิโอ รามอส โฉบมาตวัดแปด้วยซ้ายจ่อๆสวนตัวของ โอบลัค เข้าไป ส่งให้อดีตแชมป์ 10 สมัยออกนำ 1-0

หลังจากนั้นแม้ว่าแอตเลติโกจะมีโอกาสครองบอลได้มากขึ้น และพยายามตั้งเกมรุกเพื่อหวังหาโอกาสตีเสมอให้ได้ แต่ยังแทบไม่ใกล้เคียงในยการไปถึงกรอบเขตโทษของเรอัลได้เลย ทำให้จบ 45 นาทีแรกเป็นราชันชุดขาวที่นำอยู่ 1-0

เข้าสํู่ครึ่งหลังได้เพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น เป็นตราหมีที่มาได้จุดโทษ จากจังหวะที่ ตอร์เรส โดน เปเป้ เจตนาขัดขาจนล้มลงไป แต่ กรีซมันน์ กลับรับหน้าที่สังหารไปชนคานกระดอนออกมา พลาดโอกาสทองในการตีเสมออย่างน่าเสียดาย

ถัดมานาทีที่ 54 แอตเลติโกมีโอกาสอีกครั้ง จากลูกเตะมุมฝั่งซ้ายที่ โกเก้ เปิดเข้าไปแล้วบอลขลุกขลิกอยู่ในกรอบเขคโทษมาเข้าทาง สเตฟาน ซาวิช แประยะเผาขนด้วยซ้าย แต่บอลเฉี่ยวาเข้าด้านข้างตาข่ายไปนิดเดียว

จากนั้นนาทีที่ 58 ตราหมียังเป็นฝ่ายบุกได้เหนือกว่า และมีลุ้นอีกรอบ จากจังหวะที่ ยานนิค การ์ราสโก้ เปิดบอลจากริมกรอบเขตโทษฝั่งซ้ายให้ ซาอูล ตวัดยิงตามน้ำด้วยซ้ายข้างถนัด แต่ลุกยังพุ่งหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเสียดาย

ต่อมานาทีที่ 69 มาดริดเกือบจะบวกลูกสองหนีห่างออกไปอีก จากจังหวะที่ ลุก้า โมดริช ดีดบอลออกไปทางฝั่งขวาให้ เบนเซมา เลี้ยงจี้เข้าในถึงเขตโทษก่อนจะหลุดไปยิงด้วยขวา แต่ยังโดน โอบลัค ปัดป้องไว้ได้หวุดหวิด

หลังจากพยายามอยู่นาน ในที่สุดตราหมีก็สามารถปลดแอกตีเสมอได้สำเร็จ ในนาทีที่ 79 จากจังหวะที่ กาบี้ เฟร์นานเดซ งัดบอลไปทางริมเส้นกรอบเขตโทษฝั่งขวาให้ ฆวนฟราน เปิดยัดเร็วเข้ากลางต่อให้ การ์ราสโก้ พุ่งเข้าฮอร์สจ่อๆตุงตาข่าย ทำให้สกอร์กลับมาเท่ากันอีกครั้งที่ 1-1

จากนั้นทั้งสองทีมไม่สามารถทำอะไรเพิ่มเติมกันได้อีก ทำให้จบ 90 นาทีสกอร์ยังเสมอ 1-1 ต้องไปสู้กันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที

ช่องต่อเวลาพิเศษ 30 นาที กำลังของขุนพลทั้งสองทีมก็เริ่มถดถอยลงไป ทำให้เกมเนือยลงอย่างชัดเจน จนยังไม่มีฝ่ายใดทำประตูเพิมเติมได้ ทำให้จบ 120 นาทียังเสมอกันอยู่ 1-1 ต้องดวลจุดโทษตัดสินหาผู้ชนะ

สุดท้ายในช่วงดวลจุดโทษกลายเป็นราชันชุดขาวที่ยิงแม่นกว่าสังหารเข้าไปครบทั้ง 5 คน ส่วนฝั่งตราหมีนั้นเป็น ฆวนฟราน ที่ซัดพลาดไปชนเสาอย่างน่าเสียดาย ทำให้กลายเป็นเรอัล มาดริดที่ชนะไปได้สำเร็จ 5-3 คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ไปครองได้เป็นครั้งที 11 มากที่สุดในประวัติศาสตร์