ตราบาปตราบเท่านาน :10 นักเตะชีวิตพังเพราะพลาดหนึ่งครั้งถูกจำตลอดไป

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 23 มี.ค. 2560 12:58:37 น. เข้าชม 1063 ครั้ง แจ้งลบ



กรรมดีไม่อาจลบล้างกรรมชั่วได้ฉันใด เรื่องราวความผิดพลาดในโลกฟุตบอลก็ไม่ถูกลืมได้ง่ายๆฉันนั้น ... และนี่คือ 10 นักเตะที่แม้จะโชว์ฟอร์มดีมาตลอดชีวิตการค้าแข้งแต่กลับทำพลาดเพียงครั้งเดียวและถูกผู้คนพูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวจนถึงทุกวันนี้  


สตีเว่น เจอร์ราร์ด

เขาคือนักเตะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เก่งกาจที่สุด และเป็นขวัญใจของแฟนบอลลิเวอร์พูลมากที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์ของสโมสรแห่งนี้เคยมีมา ทว่าเขาจะจบชีวิตค้าแข้งได้สวยงามกว่านี้แน่หากไม่เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นเสียก่อน

แม้เขาจะถูกจดจำในฐานะฮีโร่ของเหล่าสเก้าเซอร์ แต่สิ่งที่น่าเจ็บปวดรวดร้าวเพียง 1 เดียวในชีวิตของเขาคือการลื่นล้มในเกมพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2013-14 เกมวีกที่ 35 ที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟิลด์เพื่อรับการมาเยือนของ เชลซี ที่มีหอกข้างแคร่อย่างโจเซ่ มูรินโญ่ คุมทีม

โจทย์ในเกมนี้คือหากลิเวอร์พูลชนะพวกเขาจะเข้าใกล้การเป็นแชมป์พรีเมียร์สมัยแรกในประวัติศาสตร์ แต่เรื่องราวตลกร้ายกลับเกิดขึ้นจนได้เมื่อบุคลากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสรอย่าง เจอร์ราร์ด ลื่นล้มกลางสนามปล่อยให้ เดมบา บา ฉกบอลลากเข้าไปยิงประตูให้เชลซีนำ 1-0 ก่อนจะจบเกมด้วยชัยชนะของ สิงห์บลูส์ 2-0 ปล่อยให้ เจอร์ราร์ด และสาวกเดอะ ค็อป ได้รู้จักกับความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี

“ตอนที่ เจอร์ราร์ด ลื่นนั้น เป็นจังหวะที่ส่งให้ แมนฯ ซิตี ได้แชมป์ ไม่ได้มีอะไรยากเลย ถ้า ลิเวอร์พูล ชนะในแมตช์นี้ เขาควรจะได้เป็นแชมป์ลีก แต่เมื่อทำไม่ได้ก็อดไป แต่นัดนี้ก็ไม่ได้มีผลกับเรา หลังจากที่แพ้ให้กับ ซันเดอร์แลนด์ ตำแหน่งของ เชลซี ก็ร่วงลงไป สำหรับแมตช์นั้นมันเป็นแค่ความภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ” มูรินโญ่ จี้ราดทิงเจอร์เข้าใส่แผลถลอกของ เจอร์ราร์ด ทันที ซ้ำร้ายกว่านั้นรูปภาพตัดต่อที่เขาลื่นล้มยังถูกเอามาล้อเลียนบนโลกอินเตอร์เน็ตจนถึงทุกวันนี้



โรแบร์โต้ บาจโจ้

ไม่มีใครกล้าสงสัยในฝีเท้าและพรสวรรค์ของเทพบุตรเปียทองคำรายนี้อย่างแน่นอน แต่เรื่องราวการพลาดจุดโทษของเขายังคงอยู่ในความทรงจำของประชากรชาวโลกหลายๆคนแม้คนๆนั้นจะไม่ใช่เหล่าแฟนๆที่ติดตามฟุตบอลอย่างจริงจัง

เขาคือนักเตะที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการลงเล่นในระดับสโมสรไม่ว่าจะกับ ยูเวนตุส,ฟิออเรนติน่า,มิลาน,โบโลญญ่า,อินเตอร์, และ เบรสชา แต่กับทีมชาติอิตาลีเขากับมีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

ในฟุตบอลโลกปี 1990 เขาอยู่ในทีมอัซซูรี่ชุดที่แพ้จุดโทษให้กับ อาร์เจนติน่า ในรอบรองชนะเลิศ แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่เพราะในฟุตบอลโลกครั้งต่อมาที่ บาจโจ้ สวมเบอร์ 10 และเป็นดาวยิงตัวความหวังของทีมพาทีมลุยมาถึงรอบชิงชนะเลิศและพบกับ บราซิล

ตลอดเวลา 120 นาทีทั้งสองฝั่งไม่สามารถยิงประตูกันได้เเละเสมอ 0-0 จนต้องมาดวลจุดโทษเพื่อหาผู้ชนะและความพีคก็บังเกิดจนได้ หลังจากยิงกันไปฝั่งละ 4 คน บราซิล นำอยู่ 3-2 ทำให้คนยิงคนที่ 5 ของ อิตาลี อย่างบาจโจ้ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาชนะ ทาฟฟาเรล และส่งบอลลงไปกองก้นตาข่ายให้ได้เพื่อส่งความกดดันไปให้มือยิงคนสุดท้ายของฝั่งแซมบ้า

เขามีสีหน้าที่กังวลจากสถานการณ์ที่สุดแสนจะกดดัน เขาเริ่มเลียริมฝีปาก 1 ครั้งก่อนจะก้าวถอยหลัง 11 ก้าวพอดีเป๊ะเพื่อตั้งลำก่อนยิงประตู ... บาจโจ้ วิ่งเข้ามายิงและบอลเหินข้ามคานออกไปแบบไม่ได้ลุ้น ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลายสิ่งเกิดขึ้นเร็วมาก ผู้เล่นบราซิลวิ่งฉลองดีใจกันเต็มบริเวณสนาม ขณะที่บาจโจ้นั้นได้แต่ยืนก้มหน้าค้างไว้อยู่หลายวินาที




มัสซิโม่ ตาอิบี้

เขาอาจจะผ่านการลงเล่นมากับหลายสโมสรและทำผลงานได้เหนียวหนึบมาโดยตลอด แต่ไม่มีเหตุการณ์ไหนทำให้โลกจดจำเขาได้เหมือนสมัยที่อยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อีกเเล้ว

ปีศาจเเดงซื้อตัว ตาอิบี้ มาจาก เวเนเซีย ด้วยค่าตัวถึง 4.5 ล้านปอนด์ หลังจากปัญหาผู้รักษาประตูมือ 1 ไม่เคยได้รับการแก้ไขนับตั้งแต่ ปีเตอร์ ชไมเคิล ย้ายทีมไป และถึงแม้จะซื้อได้ลองพยายามผลักดัน มาร์ค บอสนิช และ ไรมอนด์ ฟาน เดอ ฮาว นายยทวารมือ 1 และมือ 2 ของทีมอย่างเต็มที่เเล้วแต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย

ตาอิบี้ เปิดตัวกับปีศาจเเดงด้วยฟอร์มที่สุดยอด ด้วยการเซฟแล้วเซฟเล่าในเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะคู่อาฆาตตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล 3-2 ถึงเวลานั้นเหล่าแฟนผีเริ่มแอบคิดเเล้วว่าพวกเขาได้ผู้รักษาประตูที่ไว้ใจได้มาเฝ้าเสาเสียที

อย่างไรก็ตาม ตาอิบี้ ก็แจ็คพ็อตแตกจนได้ในเกมที่ไปที่พบกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อ แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ยิงเบาๆจากระยะไกล บอลค่อยๆกลิ้งมาอย่างช้าๆเหมือนไม่มีอะไร จนเเล้วจนรอด ตาอิบี้ ก็หางานให้ตัวเองจนได้ เขาพยายามจะลับบอลเข้าซองแต่บอลเจ้ากรรมกลับกลิ้งลอดขาเขาเข้าประตูไปและ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในเกมนั้นแบบสุดช็อค

ตาอิบี้ ได้ลงเล่นให้กับ ปีศาจเเดง เพียง 4 เกมเท่านั้นเพราะหลังจากจบฤดูกาล 1999-2000 เขาก็ลากลับบ้านเกิดไปเล่นให้กับ เรจจิน่า



นาทีที่ 2.46 

บิคตอร์ บัลเดส

ในอดีตเขาคือนายทวารผู้พาบาร์เซโลน่ากวาดทุกแชมป์ที่ลงเเข่งขันได้อย่างไร้เทียมทาน ทว่าตอนนี้ราศีผู้รักษาประตูระดับเวิร์ลคลาสจะเริ่มหายไปจากเขาจนเกือบหมดเกลี้ยงเเล้ว

นับตั้งแต่ บัลเดส ลา บาร์เซโล่า มาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ตั้งแต่ปี 2014 กราฟชีวิตของเขาก็ตกลงมาเรื่อยๆ เขามีปัญหากับ หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือของปีศาจเเดงในเวลานั้นจนโดนปล่อยให้กับ สตองดาร์ด ลีแอช ยืมตัวไปใช้งานและหลังจากจบฤดูกาลนั้น บัลเดส ก็กลายเป็นนักเตะฟรีเอเย่นต์และย้ายไปอยู่กับทีมน้องใหม่ในพรีเมียร์ลีกอย่าง มิดเดิลสโบรห์

ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บัลเดส มีโอกาสได้ลงเล่นให้ โบโร่ ในเกมที่เปิดบ้านพบกับ ยูไนเต็ด และนั่นเป็นเหมือนการล้างเเค้นเล็กๆของเขาเมื่อเขาโชว์ซูเปอร์เซฟอยู่หลายครั้งจนเหล่านักเตะของปีศาจเเดงเริ่่มแสดงสีหน้าท้อแท้หัวใจกันขึ้นมาอย่างชัดเจน

ในช่วง 5 นาทีสุดท้าย โบโร่ เป็นฝ่ายตามหลัง ยูไนเต็ด อยู่ 1-2 แต่รูปเกมในเวลานั้นพวกเขากดแชมป์พรีเมียร์ลีก 20 สมัยแบบโงหัวไม่ขึ้นจวนเจียนจะได้ประตูตีเสมออยู่หลาย แต่ดราม่าก็บังเกิดจนได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ จากจังหวะที่ อันโตนิโอ วาเลนเซีย ได้บอลสวนกลับและทำบอลเสียไปง่ายๆจนทำให้ โบโร่ ได้เล่นเกมสวนกลับอีกครั้ง ขณะที่บอลก็ถูกไหลส่งคืนหลังมาถึงบัลเดสเพื่อได้ลองบอมบ์ขึ้นไปวัดกันข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม วาเลนเซีย ไม่ยอมทำให้มันง่ายขนาดนั้นเขาวิ่งตามบอลเเกมเเก้เขินเล็กน้อยเพื่อกดดันใส่บัลเดส และนายทวารชาวสเปนก็พลาดจนได้ เขาพยายามจะถอยหลังเพื่อหาจังหวะเตะที่กลับสะดุดขาตัวเองล้มปล่อยให้ วาเลนเซีย ฉกบอลไปยิงประตูปิดเกมอย่างง่ายๆแบบไม่น่าเชื่อ และถ้าหากคุณได้เห็นสีหน้าของแฟนบอลสิงห์เเดงที่ฝั่งหลังโกลแล้วละก็คุณจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่าความ "เซ็ง" มันเป็นอย่างไร


จอห์น เทอร์รี่

มิสเตอร์เชลซีรายนี้เกือบจะพาสโมสรหนึ่งเดียวของเขาเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สมัยแรกอยู่เเล้วแท้ๆ แต่เรื่องแย่ๆก็ดันเกิดขึ้น

ในเกมนัดชิงชนะเลิศถ้วยบิ๊กเอียร์ปี 2007-2008 เชลซี ต้องลงสนามพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กรุงมอสโคว์ เทอร์รี่ สวมปลอกแขนกัปตันทีมพาลูกทีมเดินลงสนามและฟาดฟันกับปีศาจเเดงตลอด 120 นาทีก่อนจะจบลงด้วยสกอร์ 1-1 จากการยิงของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ แฟรงค์ แลมพาร์ด

ทั้ง 2 ทีมต้องหาผู้ชนะด้วยการยิงจุดโทษและในขณะที่ เทอร์รี่ ซึ่งเป็นคนยิงคนที่ 5 ของ เชลซี เอาบอลมาตั้งเตรียมยิงเขามีโจทย์ง่ายๆคือยิงให้เขาทุกอย่างจบไม่ต้องลุ้นอะไรทั้งนั้น แต่หลายสิ่งหลายอย่างทำให้เรื่องมันไม่จบแบบเเฮปปีเอนด์ดิ้งสำหรับเชลซี เมื่อกัปตันทีมของพวกเขากลับลื่นเสียหลักจนยิงบอลไปชนเสาออกไป และส่งให้โมเมนตั้มกลับไปทางฝั่งปีศาจเเดงแบบเต็มๆ

และก็เป็นเช่นนั้นท้ายที่สุด ยูไนเต็ด พลิกกลับมาชนะในการดวลจุดโทษด้วยสกอร์ 6-5 ขณะที่การพลาดโทษของ เทอร์รี่ ก็ถูกนำมาล้อเลียนจนถึงทุกวันนี้และยังเป็นการพลาดสุดคลาสสิกในโลกลูกหนังอีกด้วย



โยอาคิม เลิฟ

อาจจะไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอะไรนักสำหรับความผิดพลาดขของกุนซือทีมชาติเยอรมัน แต่พฤติกรรมส่วนตัวของเขาก็ทำให้ตัวเองเป็นที่ถูกล้อเลียนจนแทบหมดฟอร์มพ่อหนุ่มมาดเท่ไปเยอะเลยทีเดียว

ในศึกฟุตบอลโลก 2014 ทีมชาติเยอรมันภายใต้การคุมทีมของ โยอาคิม เลิฟ แข็งแกร่่งเกินที่หลายๆทีมจะต้านทาน พวกเขาไม่แพ้ใครเลยตลอดทั้งทัวนาเม้นต์ และนี่คือผลงานที่ทั่วโลกต่างยอมรับถึงความไร้เทียมทานของทัพอินทรีเหล็ก

อย่างไรก็ตามพฤติกรรมข้างสนามของ เลิฟ ที่ชอบจะแคะ แกะ เกา จมูกเมื่อควักขี้มูกออกมา ...เอ่อ ... กิน ? ก็ยังเป็นเรื่องที่สร้างความมึนงงปนความฮาให้กับแฟนฟุตบอลทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ และทุกครั้งที่ทีมชาติเยอรมันลงสนามกล้องก็มักจะจ้องจับผิดเลิฟอยู่เสมอเพื่อหวังที่จะได้เก็บภาพฮาๆเหมือนเมื่อครั้งที่เยอรมันคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ไปครอง



ฌิมี่ ตราโอเร่

ถ้าถามว่าผู้คนจดจำฌิมี่ ตราโอเร่ ในฐานะนักเตะดีกรีแชมป์แชมเปี้ยนส์ลีกได้มากแค่ไหน ก็คงบอกได้ว่า "พอมีบ้าง" ทว่าความผิดพลาดครั้งหนึ่งในการลงสนามของเขาเป็นที่จดจำมากกว่าเยอะเลยทีเดียว

ในเกมเอฟเอ คัพ ปี 2005 รอบ 3 ที่ ลิเวอร์พูล ต้องบุกเยือน เบิร์นลี่ย์ นั้นเกิดเหตุการณ์ระดับตำนานของโลกลูกหนังเกิดขึ้น เมื่อ ตราโอเร่ แบ็คซ้ายดาวรุ่งของลิเวอร์พูล อยากโชว์สเต็ปเทพ เลียนแบบ ซีเนอดีน ซีดาน แบบผิดที่ผิดทางเล่นท่ายาก "ซีดานเทิร์น" อยู่หน้าปากประตูตัวเอง

ซึ่งผลลัพธ์ ดับสนิท ลูกปลิ้น กลิ้งลุนๆ เข้าประตูตัวเอง เล่นเอาฮากันทั้งสนาม ขนาดนักเตะหงส์แดงในสนาม ยังแอบขำกันเองเลยทีเดียว ซึ่งหายนะครั้งนั้นก็ส่งให้ ลิเวอร์พูล ตกรอบด้วยการพ่ายเจ้าบ้านไป 0-1



ซีเนอดีน ซีดาน

เกมค้าแข้งนัดสุดท้ายในฐานะสุดยอดนักเตะของ ซีเนอดีน ซีดาน จะจบลงสวยงามดั่งนิยายยิ่งกว่านี้แน่ หากเขาสงบสติอารมณ์ไว้ได้สักหน่อย

ในฟุตบอลโลก 2006 ทีมชาติ ฝรั่งเศส ซีดาน ที่ประกาศก่อนทัวร์นาเม้นต์ว่านี่จะเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเขาทำผลงานได้อย่างน่าอัศจรรย์ เขาพาทัพตราไก่บุกตะลุยเขาถึงรอบชิงชนะเลิศได้อย่างน่าชื่นชม ภายใต้ฟอร์มการเล่นของตัวเองที่ท๊อปฟอร์มสุดๆแม้จะเข้าสูช่วงท้ายอาชีพการค้าแข้งก็ตาม

ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ฝรั่งเศส ต้องพบกับ อิตาลี ซึ่ง ซีดาน ที่เป็นคีย์แมนก็โดนเหล่าผู้เล่นของทีม อัซซูรี่ ตอดเล็กตอดน้อยอยู่นานจนกระทั่งในที่สุดเขาก็ทนคำยั่วยุจาก มาร์โก มาเตรัซซี ไม่ไหวและจัดการเฮดบัตต์ใส่เต็มๆหัว และนั่นเท่ากับว่า ซีดาน เสียเหลี่ยมให้กับจอมเจ้าเล่ห์อย่าง "เดอะ แม็ททริก" เป็นที่เรียบร้อยเเล้ว

โฮราซิโอ เอลิซอนโด้ ผู้ตัดสินชาวอาร์เจนตินา ชักใบเเดงไล่ ซีดาน ออกจากสนามทันที ก่อนที่ทีมชาติฝรั่งเศสจะจบเกมด้วยการพ่ายจุดโทษให้กับ อิตาลี 3-5 และเป็นการจบชีวิตค้าแข้งที่ไม่ค่อยน่าจดจำนักสำหรับนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกนับตั้งแต่หมดยุคของ ดิเอโก้ มาราโดน่า



เลโอนาร์โด้

ในฟุตบอลโลกปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพมีไฮไลต์ที่น่าสนใจหลายๆอย่างเกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือแมตช์ที่ บราซิล จะต้องพบกับเจ้าภาพนั่นเอง

แม้จะเป็นการพบกันระหว่าง 2 ทีมที่ห่างชั้น แต่ความสำคัญมันอยู่ที่การพบกันนัดนั้นเป็นการเจอกันในวันชาติของ อเมริกา พอดี เป๊ะ และนั่นทำให้เหล่าเเข้งเมืองลุงเเซมเล่นกับทัพแซมบ้าได้อย่างสูสีไม่เป็นรองและสร้างความอึดอัดใจให้กับ บราซิล อย่างไม่หยุดหย่อน

ด้วยรูปเกมที่ค่อนข้างไปเป็นอย่างใจ เลโอนาร์โด้ ปีกซ้ายของบราซิลตัดสินใจฟันศอกใส่หน้า แท็ป รามอส นักเตะของ อเมริกา เข้าอย่างจังเต็มขมับ และเรื่องราวมันร้ายยิ่งว่านั้นเมื่อหลังจาก รามอส ล้มลงไปและมีแพทย์สนามได้ดูอาการคือเขามีโอกาสเป็นตายเท่ากันเลยทีเดียว เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ รามอส ต้องโดนส่งขึ้น เฮลิคอปเตอร์ บินฉุกเฉินไปเข้ารับการรักษาตัวทันที

แม้ท้ายที่สุดแล้ว บราซิล จะเป็นผู้ชนะ และ รามอส จะหายกลับมาเป็นปกติใด้ แต่ เลโอนาร์โด้ ก็โดนแบน 8 นัดซึ่งเป็นจำนวนที่ยาวนานที่สุดในฟุตบอลโลกและเขาก็หมดสิทธิ์ลงเล่นในรอบชิงชนะเลิศทัพแซมบ้าเป็นแชมป์ในบั้นปลายอีกด้วย



หลุยส์ ซัวเรซ

แม้จะไม่มีใครกล้าสงสัยในฝีเท้าเเละลีลาการยิงประตูของดาวยิงชาวอุรุกวัยรายนี้ แต่ หลุยส์ ซัวเรซ ก็มีตราบาปติดตัวชนิดที่ว่าใครนึกถึงก็ต้องร้องอ๋อในทันที

จะเรียกว่าพลาด 1 ครั้งก็คงไม่ถูกนักเพราะซัวเรซนั้นกัดนักเตะคู่แข่งถึง 3 ครั้งภายในระยะเวลาไล่เลี่ยกันไม่นาน ครั้งแรกคือการกัดตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเตะดาวรุ่งตอนที่เล่นให้กับ อาหยักซ์ ส่วนหนที่สองคือการกัด  บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ในเกมพรีเมียร์ลีกที่ ลิเวอร์พูล พบกับ เชลซี จนทำให้เขาโดนสมาคมฟุตบอลอังกฤษแบนยาวถึง 10 เกมรวด

เท่านั้นยังไม่พอเมื่ออีก 1 ปีต่อมาในศึกฟุตบอลโลก 2014 เกมนัดที่ 3 รอบแบงกลุ่ม ซัวเรซ ก็ก่อปฎิบัติการงับสะท้านโลกอีกครั้ง ครั้งนี้เป็น จอร์จิโอ คิเอลลินี กองหลังทีมชาติอิตาลีที่โดนเขากับจมเขี้ยวที่บริเวณหัวไหล่ และหลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็สร้างทั้งเสียงวิจารณ์และเสียงหัวเราะจากสิ่งที่ซัวเรซได้ทำลงไปอย่างมากมาย ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของ ซัวเรซ จึงกลายเป็นนักเตะจอมตุกติกติดตัวเขาอยู่ในตัวเขาจนถึงทุกวันนี้



ที่มา: http://www.fourfourtwo.com/th