13 สุดยอดกองหน้าเบอร์ 9 ตลอดกาล กับเรื่องราวที่อาจไม่มีใครรู้

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 24 ก.พ. 2560 10:34:06 น. เข้าชม 978 ครั้ง แจ้งลบ

Gabriel Batistuta


เสื้อเบอร์ 9 คือเบอร์ที่กองหน้าหลายๆ คนปรารถนาที่จะได้สวมใส่ เนื่องจากมันคือเบอร์สำหรับเครื่องจักรสังหารประตูที่ผลิตสกอร์ให้กับทีมจนกลายเป็นที่จดจำได้ของแฟนๆ ทุกยุคทุกสมัย  ซึ่งจะมีใครบ้างที่โด่งดังและกลายเป็นตำนานกับเสื้อเบอร์ 9 นี้ได้ ติตดามได้ที่นี่


1. อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่

  • ลงสนาม 709 นัด ยิงไป 519 ประตู

ดิ สเตฟาโน่ คือยอดแข้งที่เปรียบเสมือนส่วนผสมของ 2 แข้งแห่งศตวรรษอย่าง เปเล่ จอมทัพชาวบราซิล และ ดิเอโก้ มาราโดน่า จอมทัพชาวอาร์เจนติน่า โดยมาราโดน่าเคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า “ผมไม่รู้ว่าตัวเองเก่งกว่าเปเล่หรือไม่ แต่ผมรู้ว่า ดิ สเตฟาโน่ นั้นเก่งกว่าแน่นอน” ขณะที่ด้านเปเล่ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเมื่อออกมาโต้ตอบเสือเตี้ยว่า ดิ สเตฟาโน่ เองก็เก่งกว่ามาราโดน่า ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ ดิ สเตฟาโน่ จะเป็นตำนานผู้เล่นหมายเลข 9 ที่ใครๆ ก็จดจำเขาได้

ดาวเตะสัญชาติอาร์เจนไตน์-สแปนิช รายนี้คือตัวอย่างของนักฟุตบอลในยุคนั้นอย่างแท้จริง (“ผมคิดว่าฟุตบอลคือกีฬาที่คุณต้องวิ่งและปล่อยให้เหงื่อไหลออกมาตลอดเวลา”) โดยเขาคือกำลังสำคัญของเรอัล มาดริดในยุคนั้น โดยนอกจากเจ้าตัวจะทำประตูได้บ่อยๆ ในรายการยุโรปที่เขาพาทัพราชันชุดขาวคว้าแชมป์ได้ถึง 5 สมัยแล้ว ลีลาในสนามของเขาก็คือจุดเริ่มต้นของแนวทางการเล่นสมัยใหม่ด้วย  


Alfredo Di Stefano

ดิ สเตฟาโน่ : ดีกว่าเปเล่และมาราโดน่า?

จริงๆ แล้วสเตฟาโน่นั้นไม่ใช่นักเตะหมายเลข 9 โดยกำเนิด เพราะแม้ว่าจะยิงไปถึง 307 ประตูจากการลงสนามอย่างเป็นทางการ 396 นัดให้กับทัพราชันชุดขาว แต่เขาก็เป็นนักเตะที่เล่นเกมรับได้ รวมทั้งยังชอบต่อบอลกับมิดฟิลด์กลางสนามอีกด้วย โดยหากจะเทียบกันจริงๆ แล้ว ดิ สเตฟาโน่ นั่นมีความคล้ายคลึงกับ ซีเนดีน ซีดาน มากกว่าเสียอีก

“จุดแข็งของ อัลเฟรโด้นั้นคือการที่คุณมีเขาอยู่ในทีม เพราะเขาจะช่วยให้คุณเหมือนมีผู้เล่น 2 คนในทุกๆ ตำแหน่ง” มิเกล มูนญอซ อดีตกุนซือมาดริดกล่าว

นอกจากนั้น เชื้อสายของดิ สเตฟาโน่นั่นยังเป็นที่พูดถึงอีกด้วย เพราะแม้ว่าในปัจจุบัน จะมีนักเตะละตินย้ายมาค้าแข้งที่สเปนจำนวนมาก ทว่า ดิ สเตฟาโน่นั้นเปรียบเสมือนรุ่นยุคบุกเบิกเลยก็ว่าได้ เพราะดาวเตะที่เกิดในเมือง บัวโนส ไอเรส รายนี้ คือแข้งคนแรกที่มาจากอเมริกาใต้และประสบความสำเร็จ โดยหลังจากย้ายมาจาก มิลโลไนรอส ออฟ โคลอมเบีย เมื่อปี 1953 เจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในศึกเอล กลาซิโก ที่เขามักจะทำประตูได้จนกลายเป็นดาวซัลโวตลอดกาลอันดับ 2 ของดาร์บี้แมตช์อันยิ่งใหญ่ ด้วยเหตุนี้ ทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนๆและได้การต้อนรับอย่างอบอุ่นเสมอจนถึงขั้นที่เลือกถือสัญชาติสเปนและรับใช้ทัพกระทิงดุอีกด้วย

2. ดิ๊กซี่ ดีน

  • ลงสนาม 505 นัด ยิงไป 443 ประตู

“ดิ๊กซี่ ดีน คือ ยอดคนอัจฉริยะระดับเดียวกับ บีโธเฟ่น หรือ เชคสเปียร์” บิล แชงคลีย์ กล่าวถึงกองหน้ารายนี้ ซึ่งมันอาจจะฟังดูแปลกๆ เพราะจริงๆ แล้วอดีตกุนซือของลิเวอร์พูลรายนี้ไม่ใช่คนที่จะออกปากชมนักเตะเอฟเวอร์ตัน คู่อริตลอดกาลของทีมง่ายๆ แต่การที่เขาทำเช่นนี้ นั่นหมายความว่าดีนต้องเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมจริงๆ

ดิ๊กซี่ หรือที่แม่ของเขาเรียกว่า วิลเลี่ยม นั้นอาจจะเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษเลยก็ว่าได้ เพราะเจ้าตัวยิงไป 425 ประคูจากการลงสนาม 489 นัดให้กับทีม (เฉลี่ยแล้วดีว่า แกร์ด มุลเลอร์เสียอีก) โดยในฤดูกาล 1927/28 หัวหอกวัย 21 กะรัตในตอนนั้นกดไปคนเดียว 60 ประตูในลีก จนพาท็อฟฟี่สีน้ำเงินคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ


Dixie Dean

เขาคือตำนานที่มีรูปปั้นอยู่หน้าสโมสร

ดีนเป็นกองหน้าที่เล่นบอลด้วยเท้าได้เยือกเย็นมากๆ ขณะที่ลูกกลางอากาศก็เรียกได้ว่าเข้าขั้นอัจฉริยะ เพราะแม้ว่าจะสูงแค่ 5 ฟุต 10 นิ้วเท่านั้น แต่เจ้าตัวก็เป็นจอมโขกคนหนึ่งของวงการเลย โดยในยุคที่ฟุตบอลอังกฤษยังเน้นการโยนบอลและครอสจากด้านข้างนั้น เจ้าตัวมักจะชิงจังหวะเอาชนะกองหลังคู่แข่งและโหม่งได้เสมอ แถมดีนยังเป็นนักเตะที่ไม่เคยโดนใบเหลืองหรือใบแดงเลยอีกด้วย “ผู้คนถามผมว่าสถิติ 60 ประตูของผมจะถูกทำลายหรือไม่” เจ้าตัวเล่า “ผมคิดว่ามันถูกทำลายได้นะ แต่มันจะมีแค่คนๆ เดียวที่ทำได้ นั้นก็คือคนที่เดินบนน้ำได้(พระเจ้า)”

มันอาจจะเป็นจริงอย่างที่เขาว่าก็ได้ เพราะจนถึงวันนี้ ชายที่หลายคนยกให้เป็นแข้งที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ยังทำได้แค่ 50 ประตูเท่านั้นใน 1 ฤดูกาล


3.  แฟร้งค์ วอร์ธิงตัน

  • ลงเล่น 836 นัด ยิงไป 262 ประตู

วอร์ธิงตันคือกองหน้าหมายเลข 9 ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นสายตาอันเฉียบแหลม หรือการเล่นที่มีชีวิตชีวาของเขาในช่วงปลายยุค 60 ต่อเนื่องมาจนถึงต้นยุค 70 โดยวอร์ธิงตันนั้นฉายแววโดดเด่นตั้งแต่ช่วงต้นอาชีพของเขากับสโมสรฮัดเดอร์สฟิลด์และเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งเป็น 2 สโมสรแรกในชีวิตของเขา “ผู้เล่นคนอื่นๆ จับบอลไกลกว่าผมเตะด้วยซ้ำ” เจ้าตัวโม้ “ผมว่าวิธีที่ผมเล่นนั้นสำคัญกว่าการที่ทีมชนะเสียอีก”

 

Frank Worthington

วอร์ธิงตันไม่เคยสงสัยในความสามารถของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองนั่นแหละที่เป็นตัวทำลายอนาคตของตัวเอง เพราะหลังจากถูกเรียกไปติดทีมชาติอังกฤษของ อัลฟ์ แรมซีย์ เจ้าตัวก็เกือบจะได้ย้ายไปร่วมทัพลิเวอร์พูล ทว่าดันมีปัญหาในระหว่างตรวจร่างกายเสียก่อน ขณะที่วีรกรรมนอกสนามของเขานั้นก็มีมากมาย ซึ่ง 1 ในนั้นคือการที่เขานอกใจภรรยาของตัวเองและไปมีเพศสัมพันธ์หมู่กับแม่ลูกชาวสวีเดน รวมถึงการไปปาร์ตี้กับ โอมาร์ ชาริฟ นักแสดงชาวอียิปต์ที่ทะเลแถบคาริบเบียนด้วย

กองหน้ารายนี้ผ่านการย้ายทีมทั้งหมด 22 ครั้งในช่วง 15 ปีที่ค้าแข้งตั้งแต่ปี 1977 เป็นต้นมา ทว่าก็ยังไม่เคยสัมผัสแชมป์ใดๆ เลย อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เพราะฝีเท้าของเขาที่ตกลง เพราะไม่ว่าจะกับสโมสรไหน เจ้าตัวสามารถยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนั่นทำให้หลายๆ คนเชื่อว่า ถ้าหากเขาประพฤติตัวให้ดีเหมือนกับ ไมเคิล โอเว่น หรือกองหน้าชื่อดังคนอื่นๆ บางที เขาอาจจะได้ติดธงสูงถึง 80 นัดหรือมากกว่านั้น แทนที่จะมาหยุดที่เพียง 8 นัดแบบทุกวันนี้ แต่ไม่ว่ายังไง ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็คงไม่มี แฟร้งค์ วอร์ธิงตันให้แฟนๆ ได้รู้จักกัน

 

ลูกยิงสุดสวยใส่อิปสวิชจากวอร์ธิงตัน


4. อูโก้ ซานเชซ

  • ลงสนาม 881 นัด ยิงไป 516 ประตู

เพียงแค่สถิติของหัวหอกรายนี้ก็สามารถบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดีแล้ว โดยในฤดูกาล 1989/90 ซานเชซผงาดคว้ารางวัลดาวซัลโวของลาลีก้าได้เป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี หลังจากที่จัดการยิงไปถึง 38 ประตูซึ่งต้องยอมรับว่า หัวหอกรายนี้เป็นคนที่มีวิญญาณเพชฌฆาตอยู่ในตัวสูงมากๆ แถมเขายังเป็นนักเตะที่คอนโทรลบอลได้ดีอีกด้วย ซึ่งนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ซานเชซยิงประตูได้อย่างต่อเนื่อง

ซานเชซเป็นกองหน้าที่มักจะมีลูกยิงมหัศจรรย์ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ อย่างลูกฟริคิกเหนือความคาดหมาย, ลูกโขกตอร์ปิโดบก หรือลูกจักรยานอากศ ซึ่งอย่าลืมว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากการฝึกฝนของเขาเอง เรียกได้ว่า ในยุคนั้น เขาเหมือนกับนักยิมนาสติกแห่งสนามฟุตบอลสนามยังไงยังงั้นเลยก็ว่าได้ สำหรับเส้นทางของเขานั้น เจ้าตัวเริ่มสร้างชื่อของตัวเองมาจากสโมสรในบ้านเกิด ก่อนที่จะย้ายมาเป็นตำนานให้กับ แอตเลติโก มาดริด ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ ตามด้วยการย้ายข้ามฟากไป เรอัล มาดริด และพาทีมคว้าแชมป์ได้ 5 สมัยด้วยกัน

ผลงาน 234 ประตูในลีกของเจ้าตัวเพิ่งจะถูก ลิโอเนล เมสซี่ กองหน้าตัวเก่งบาร์เซโลนาแซงไป อย่างไรก็ตาม ลีโอ บีนฮัคเกอร์ อดีตกุนซือของซานเชซเคยให้สัมภาษณ์ว่า “เวลาที่นักเตะยิงประตูได้แบบเขา ผมคิดว่าเราต้องหยุดแข่งและแจกแก้วแชมเปญให้แฟนบอลทุกคนเลยล่ะ”


5. เอ็นริเก้ คาสโตร

  • ลงสนาม 721 นัด ยิงไป 377 ประตู

สำหรับหัวหอกรายนี้นั้น 1 ในเหตุการณ์ที่แฟนบอลในยุคนั้นจดจำได้ดีคือเหตุการณ์ที่เขาถูกลักพาตัวที่ร้านค้าแห่งหนึ่งในช่วงบ่ายวันเสาร์เดือนมีนาคม ปี 1981

ในตอนนั้น เจ้าตัวถูกชาย 2 คนจี้และบังคับพาตัวขึ้นรถตู้ไป ซึ่งตอนนั้นมันเป็นช่วงหลังจากที่เขาเพิ่งจัดการยิง 2 ประตูในเกมที่บาร์เซโลนาเอาชนะเอร์กูเลสไปได้ 6-0 กองหน้ารายนี้ก็หายตัวไปเป็นเวลา 25 วัน

เต็มๆ ก่อนที่ในเวลาต่อมา ฝ่ายที่ลักพาตัวคาสโตรไปก็ติดต่อพร้อมเรียกเงิน 1.8 ล้านปอนด์เพื่อเป็นค่าไถ่ของกองหน้ารายนี้


Quini

การลักพาตัวครั้งนั้นยังไม่สามารถหยุดการทำประตูของเขาได้

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ แบรนด์ ชูสเตอร์ เพื่อนร่วมทีมของเขาปฏิเสธที่จะลงสนามจนกว่าคาสโตรจะถูกปล่อยตัว “ผมไม่ได้มีแค่ขา 2 ข้างนะ ผมยังมีหัวใจอยู่ด้วย” กองกลางเยอรมันกล่าว “ผมแค่อยากได้เพื่อนของผมคืน”

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายดาวเตะชาวสเปนรายนี้ก็ถูกปล่อยตัวที่ลานจอดรถแห่งหนึ่ง กระนั้นแม้จะถูกจับตัวไปเกือบ 1 เดือนเต็ม แต่เจ้าตัวก็ตัดสินใจที่จะไม่แจ้งข้อหาอะไรทั้งสิ้น โดยให้เหตุผลว่า ฝ่ายผู้ลักพาได้ดูแลเขาเป็นอย่างดี พร้อมกับรับประกันกับเขาว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับเขาด้วย อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด ฝ่ายที่ลักพาตัวเขาก็ถูกจับกุมและถูกตัดสินจำคุก 10 ปี

ช่วงที่หายไปของคาสโตรนั้นส่งผลต่อทัพเจ้าบุญทุ่มเป็นอย่างมาก โดยอันดับในลีกของบาร์ซ่าร่วงลงจนอดลุ้นแชมป์ แถมพวกเขาเก็บได้แค่ 1 คะแนนจาก 4 นัด ส่งผลให้ท้ายที่สุด พวกเขาก็จบเพียงอันดับ 5 ของตาราง กระนั้น ในส่วนของคาสโตร สุดท้ายเจ้าตัวก็ยังได้รางวัลดาวซัลโวอยู่ดี


Read more at http://www.fourfourtwo.com/th/features/13-sudydknghnaaebr-9-tldkaal-kaberuuengraawthiiaacchaimmiiaikhrruu?page=0%2C1#QTywXoktGKvMzJt0.99