ย้อนรอยฟุตบอลโลก : บราซิล 1950

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 5 มิ.ย. 2561 09:37:21 น. เข้าชม 796 ครั้ง แจ้งลบ

ก่อนทัวร์นาเมนต์ที่รัสเซียจะเริ่มต้น เรามาย้อนอดีตเวิลด์คัพที่ผ่านมากัน และนี่คือรอบสุดท้ายของเวิลด์คัพ 1950 ที่บราซิล


หลังจากต้องหยุดพักไปนาน 12 ปีจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สอง ฟุตบอลโลกก็กลับมาเตะกันอีกครั้งที่บราซิล แต่ไม่ใช่แฟนบ้านเจ้าถิ่นที่ได้เฉลิมฉลองกันในครั้งนี้
อุรุกวัยได้แชมป์สมัยที่สองเทียบเท่าอิตาลี ด้วยการปราบตัวเต็งก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์และเจ้าภาพไปได้สำเร็จ
บราซิลลงทุนสร้างมาราคานา สนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อเป็นหมุดหมายแห่งทัวร์นาเมนต์สำคัญนี้ แต่ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้สมดังที่ตั้งใจเอาไว้ก่อน



ทีมของฟลาวิโอ คอสต้า ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจมาตลอด โดยยิงไปถึง 22 ประตู จาก 6 นัด แต่พวกเขากลับต้องชอกช้ำในทัวร์นาเมนต์นี้เพราะระบบจัดการแข่งขันที่ผิดแปลกไปจากปกติ
ฝ่ายจัดการแข่งขันตัดสินใจยกเลิกการดวลกันแบบน็อคเอาท์ และเลือกที่จะใช้วิธีแบ่งกลุ่มในรอบแรก เพื่อคัดเลือกทีมที่เหลือให้มาแข่งกันแบบพบกันหมดอีกครั้ง ในรอบแบ่งกลุ่มรอบสุดท้าย ซึ่งนั่นหมายความว่านี่เป็นฟุตบอลโลกที่ไม่ใช่ “นัดชิง” อย่างเป็นทางการ
ผลจากสงคราม ทำให้ทีมอย่างฮังการีและเช็คโกสโลวาเกีย ไม่ได้ลงเล่นในรอบคัดเลือก ขณะที่เยอรมันและญี่ปุ่นโดนแบนจากการคว่ำบาตรของนานาประเทศ




สก็อตแลนด์, ตุรกี และอินเดีย ต่างพากันถอนตัวหลังจากผ่านรอบคัดเลือก โดยทีมหลังสุดตัดสินใจถอนตัวเพราะพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นด้วยเท้าเปล่า ขณะที่ฝรั่งเศสปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเพราะต้องเดินทางกว่า 3,500 กิโลเมตร ในแต่ละเกม
เมื่อเหลือเพียง 13 ทีมที่เข้าร่วมแข่งขัน จึงมีเพียง 2 กลุ่มเท่านั้นที่มีครบ 4 ทีม ในขณะที่อีกสองกลุ่มที่เหลือนั้นมีเพียง 3 ทีม และ 2 ทีมตามลำดับ ในรอบแรก โดยทีมที่เป็นแชมป์กลุ่มจะได้ผ่านเข้าสู่รอบถัดไป
มีผู้คนมากมายคาดหวังว่าอังกฤษจะไปได้สวยในฟุตบอลโลกครั้งแรกของพวกเขา โดยทีมสิงโตคำรามเริ่มต้นได้ดีจากการชนะชิลี 2-0 แต่ผลจากความพ่ายแพ้ต่อสหรัฐอเมริกาแบบเหนือความคาดหมาย และความพ่ายแพ้ต่อสเปนอีกหนึ่งนัด ทำให้พวกเขาต้องตกรอบไปในที่สุด
ทีมของวอลเตอร์ วินเทอร์บอตทอม ไม่ใช่ทีมดังเพียงทีมเดียวที่ต้องออกจากทัวร์นาเมนต์อย่างรวดเร็ว เมื่อแชมป์เก่าอย่างอิตาลีก็เป็นอีกทีมที่ต้องกลับบ้านก่อนกำหนด
บราซิลไม่แพ้ใครเลยในรอบแบ่งกลุ่ม และเป็นทีมเต็งที่เข้าไปถึงรอบสุดท้าย อย่างไรก็ดี รูปแบบการแข่งขันของครั้งนี้กลับเป็นอุปสรรคต่อเจ้าภาพ




อเดเมียร์ ซึ่งเป็นดาวซัลโวจากการยิงได้ 8 ประตูในทัวร์นาเมนต์นี้ ยิงได้ 4 ลูกในเกมชนะสวีเดน 7-1 ก่อนจะยิงได้เพิ่มอีกลูกในเกมชนะสเปน 6-1 ส่งผลให้บราซิลเป็นจ่าฝูงของตารางก่อนที่จะเหลือเกมในมืออีกหนึ่งนัด
ขณะเดียวกัน อุรุกวัยมีแต้มตามหลังเจ้าภาพอยู่ 1 แต้ม และต้องเจอกับบราซิลในนัดสุดท้าย พวกเขาจำเป็นต้องชนะเท่านั้นเพื่อให้ได้ชูถ้วยรางวัล และทีมจอมโหดก็สร้างเซอร์ไพรส์ได้สำเร็จด้วยการชนะไป 2-1 ท่ามกลางความตื่นตะลึงของแฟนบอลเจ้าถิ่นกว่า 200,000 คน
บราซิลเป็นฝ่ายออกนำไปก่อนจากเฟรียเซียในต้นครึ่งหลัง แต่ประตูของ Juan Schiaffino และ Alcides Ghiggia ใน 24 นาทีสุดท้าย ส่งผลให้อุรุกวัยได้ถ้วยไปครอง ถ้วยซึ่งปัจจุบันเรียกว่า จูลส์ ริเมต์ รอดพ้นจากวันเวลาแห่งสงครามมาได้ด้วยการแอบอยู่ในกล่องรองเท้าใต้เตียงของรองประธานฟีฟ่า ชาวอิตาเลียน ด็อกเตอร์อ็อตโตริโน บาราสซี