ย้อนรอยฟุตบอลโลก - อังกฤษ 1966

โพสต์โดย : Admin เมื่อ 9 มิ.ย. 2561 11:56:02 น. เข้าชม 732 ครั้ง แจ้งลบ


ก่อนทัวร์นาเมนต์ที่รัสเซียจะเริ่มต้น เรามาย้อนอดีตเวิลด์คัพที่ผ่านมากัน และนี่คือรอบสุดท้ายของเวิลด์คัพ 1966 ที่ประเทศอังกฤษ


ในที่สุดถ้วยฟุตบอลโลกก็ได้มาอยู่ในแผ่นดินต้นกำเนิดกีฬาลูกหนัง เมื่ออังกฤษคว้าแชมป์สำเร็จจากการเข้าร่วมแข่งขันเป็นครั้งที่สาม
เจฟฟ์ เฮิร์สท์ กลายเป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติเมื่อทำแฮตทริคได้ในนัดชิงชนะเลิศช่วยให้ อังกฤษ เอาชนะ เยอรมันตะวันตก 4-2 โดยประตูที่สองของเขายังเป็นที่กล่าวถึงกันอย่างมากจนกระทั่งทุกวันนี้
หลังจากเสมอกันในเวลา 2-2 ช่วงต่อเวลาพิเศษของเกมนัดชิงชนะเลิศ เฮิร์สท์ ยิงบอลเต็มแรงไปกระแทกคานก่อนกระเด้งลงบนเส้นประตู และ โทฟิค บาครามอฟ ผู้กำกับเส้นชาวโซเวียตในเกมดังกล่าวให้สัญญานว่าลูกนี้เป็นประตู




จากนั้นอีก 19 นาทีต่อมา เฮิร์สท์ ก็มาทำประตูที่สามของตัวเองได้สำเร็จ กลายเป็นคนแรกที่ทำแฮตทริคได้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก ช่วยให้อังกฤษภายใต้การคุมทีมของ อัลฟ์ แรมซีย์ เป็นแชมป์โลกในปีนั้น โดยมีสองขุนพลชื่อดังอย่าง บ็อบบี้ มัวร์ และ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน อยู่ในทีมชุดนั้นด้วยเช่นกัน
เทคโนโลยีโกลไลน์ จะถูกใช้ครั้งแรกในฟุตบอลโลกปี 2014 ซึ่งถ้าเป็นไปได้เยอรมันตะวันตกคงอยากให้มีเทคโนโลยีนี้ตั้งแต่เมื่อ 48 ปีที่แล้ว
การเป็นเจ้าภาพของอังกฤษครั้งนี้ไม่ได้ราบรื่นนัก เมื่อก่อนทัวร์นาเม้นท์จะเริ่มถ้วย จูลส์ ริเมต์ ถูกขโมยระหว่างนำมาแสดงที่ เวสต์มินส์เตอร์ เซ็นทรัล ฮอลล์ เมื่อเดือนเมษายนปี 1966
อย่างไรก็ตามทางเจ้าภาพก็สามารถตามหาถ้วยใบนี้คืนมาได้ในอีกไม่กี่วันหลังจากนั้น โดยพบที่ทางตอนใต้ของกรุงลอนดอนด้วยฝีมือการดมกลิ่นของสุนัขที่ชื่อว่า พิกเกิ้ลส์
เจ้าภาพใช้สิงโตตัวเป็นมาสคอตในทัวร์นาเม้นท์นี้ โดยให้ชื่อว่า “เวิลด์คัพ วิลลี่”
16 ทีมชั้นนำของโลกผ่านเข้าชิงชัยในการแข่งครั้งนี้ แม้ว่าจะมีปัญหาในรอบคัดเลือกเมื่อทีมจากแอฟริกาประท้วงไม่เข้าร่วมการแข่งขัน หลังจากฟีฟ่าสั่งให้แชมป์จากโซนแอฟริกาต้องไปเล่นเพลย์ออฟกับทีมแชมป์จากโซน เอเชีย-โอเชียเนีย
แชมป์เก่า บราซิล ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังในการแข่งขันครั้งนี้เมื่อไม่สามารถผ่านรอบแรกได้ หลังทำได้เพียงอันดับ 3 ของกลุ่ม




ในรอบแรกเกาหลีเหนือเป็นทีมที่สร้างเซอร์ไพรซ์ให้กับคนทั้งโลก เมื่อสามารถเอาชนะอดีตแชมป์โลก 2 สมัยในเวลานั้นอย่าง อิตาลี ได้ 1-0 ที่สนามในเมืองมิดเดิ้ลสโบรห์ โดยได้ประตูชัยในช่วงก่อนหมดเวลาครึ่งแรกจาก ปาร์ค ดู-อิค และผ่านเข้ารอบต่อไปได้สำเร็จเป็นอันดับสองของกลุ่มรองจากสหภาพโซเวียต
อย่างไรก็ตาม เกาหลีเหนือ ก็มาได้ไกลสุดแค่รอบสอง เมื่อต้องโคจรมาพบกับ โปรตุเกส ที่มียอดนักเตะอย่าง ยูเซบิโอ เป็นตัวชูโรง
ยูเซบิโอ วัย 24 ปี เป็นกองหน้าที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในตอนนั้น และเขาก็พิสูจน์ความเก่งกาจของตัวเองด้วยการครองรางวัลดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเม้นท์ กับผลงาน 9 ประตู ขณะที่ ฟร้านซ์ เบคเคนบาวเออร์ นักเตะวัย 20 ปี ของเยอรมันตะวันตก คว้าตำแหน่งดาวรุ่งยอดเยี่ยมไปครอง
ฟุตบอลโลกครั้งนี้เหมือนถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออังกฤษอย่างแท้จริง และจนถึงทุกวันนี้แฟนบอลของทีมสิงโตคำรามก็ยังคงรอคอยว่าวันหนึ่งทีมจะกลับมาประสบความสำเร็จเหมือนยุคทองปี 1966 อีกครั้ง